_ครีมกันแดดแสงอาทิตย์มีประโยชน์ต่อโลก และต่อตัวเราอย่างมากมาย คนเราทุกคนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ หากไม่มีแสงอาทิตย์เราก็อยู่ไม่ได้ แต่แสงอาทิตย์ก็เป็นภัยสำหรับคนเรา ผิวของคนเราจะเป็นตัวป้องกัน มิให้รังสีทำลายเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง โดยมี Melanin Pigment เป็นตัวดูดรังสี แต่คนบางคนก็มีเม็ดสีไม่เพียงพอ ที่จะดูดซับรังสีได้หมด`หากเจอแสงมากก็จะเกิดอาการบวม แดง และปวด ที่เรียกว่า Sun Burn ซึ่งอาจจะส่งผลเสียในระยะยาว เช่น มะเร็งผิวหนัง การป้องกันแสงแดดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกอายุ ซึ่งต้องทำทุกวิธีตั้งแต่หลีกเลี่ยงช่วงเวลา 10 - 15 นาฬิกา ใส่เสื้อผ้ากันแสงแดด สวมหมวกใบโตและทาครีมกันแสงแดด แสงแดดทำให้เกิดผลเสียต่อผิวหนังได้หลายแบบ
|
_การป้องกันแสงแดด จะป้องกันผิวหนังได้รับอันตรายจากแสง เช่น ผิวไหม้จากแดด ฝ้า รอยย่น
และมะเร็งผิวหนัง การป้องกันแสงแดดสามารถทำได้หลายวิธี ต้องเลือกวิธีอย่างเหมาะสม
และให้ทาครีมกันแดดที่มีฤทธิ์ป้องกันแสง (Sun Protection Factor (SPF) อย่างน้อย 15)
การเลือกครีมกันแดด
แสงอาทิตย์จะมีรังสี UVA, UVB รังสีทั้งสองสามารถทำให้เกิดผิวสีแทน (Tan) และอันตรายต่อผิวหนัง รังสี UVB จะมีมากในช่วง 10.00 - 16.00 น. รังสีนี้จะทำให้ผิวหนังเราไหม้ การวัดประสิทธิภาพของครีมกันแดด ในระยะแรกก็จะเน้นที่ความสามารถในการป้องกันผิวไหม้แดง นั่นคือ สามารถดูดซับแสง UVB ได้ดี หรือ คือค่า SPF (Sun Protection Factor) ค่า SPF 15 มีความหมายว่า ในกรณีที่ท่านทาครีมกันแดดอย่างทั่วถึงในความหนา 2 มิลลิกรัมต่อพื้นที่ผิวหนังหนึ่งตารางซม. ท่านจะต้องใช้เวลาตากแดดเพิ่มขึ้นถึง 15 เท่า จึงจะทำให้ผิวไหม้แดง ตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์จริงถ้าอยู่กลางแสงแดดจัดเวลาเที่ยงบริเวณชายทะเลในเวลาประมาณ 15 นาที จะทำให้ผิวหนังแดงได้ การใช้ครีมกันแดด SPF 15 อย่างทั่วถึง จะต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น 15 เท่า จึงจะเกิดผิวไหม้แดง นั่นคือ เท่ากับ 15 x 15 คือ 225 นาที หรือ 3 ชม. 45 นาที ในขณะที่รังสี UVA จะพบได้ตลอดวันและทำลายผิวหนังชั้นลึกกว่า UVB แต่ปริมาณรังสีในอากาศมีไม่มาก แม้ว่าจะใช้ครีมกันแดดดีอย่างไร ก็มีแสงบางส่วนเล็ดรอดไปสู่ผิวหนังได้ ดังนั้นในความเป็นจริงอาจจะเป็นเวลาประมาณ 2 ชม. ดังนั้นอาจจะต้องทาครีมกันแดดทุก 1-2 ชั่วโมง ที่ดีคือหลีกเลี่ยงแสงแดด
ครีมกันแดดในปัจจุบัน จึงได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อป้องกันแสง UVA เพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจาก UVA ก็สามารถทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้เหมือน UVB แต่การวัดประสิทธิภาพของการป้องกันแสง UVA ยังไม่มีมาตรฐานสากลเหมือนค่า SPF สำหรับครีมกันแดดที่มีฉลากว่ากันได้ทั้ง UVA, UVB นั้น ในต่างประเทศได้มีผู้นำมาทดสอบ พบว่า ความสามารถในการป้องกัน UVA ต่างกันมาก และไม่สัมพันธ์กับค่า SPF ที่สูงขึ้น เช่น ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 45 ไม่สามารถกัน UVA ได้ดีกว่ายากันแดดที่มีค่า SPF 15 เป็นต้น ทำให้มีปัญหากับผู้บริโภคในการเลือกใช้อย่างเหมาะสม
การเลือกครีมกันแดด
แสงอาทิตย์จะมีรังสี UVA, UVB รังสีทั้งสองสามารถทำให้เกิดผิวสีแทน (Tan) และอันตรายต่อผิวหนัง รังสี UVB จะมีมากในช่วง 10.00 - 16.00 น. รังสีนี้จะทำให้ผิวหนังเราไหม้ การวัดประสิทธิภาพของครีมกันแดด ในระยะแรกก็จะเน้นที่ความสามารถในการป้องกันผิวไหม้แดง นั่นคือ สามารถดูดซับแสง UVB ได้ดี หรือ คือค่า SPF (Sun Protection Factor) ค่า SPF 15 มีความหมายว่า ในกรณีที่ท่านทาครีมกันแดดอย่างทั่วถึงในความหนา 2 มิลลิกรัมต่อพื้นที่ผิวหนังหนึ่งตารางซม. ท่านจะต้องใช้เวลาตากแดดเพิ่มขึ้นถึง 15 เท่า จึงจะทำให้ผิวไหม้แดง ตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์จริงถ้าอยู่กลางแสงแดดจัดเวลาเที่ยงบริเวณชายทะเลในเวลาประมาณ 15 นาที จะทำให้ผิวหนังแดงได้ การใช้ครีมกันแดด SPF 15 อย่างทั่วถึง จะต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น 15 เท่า จึงจะเกิดผิวไหม้แดง นั่นคือ เท่ากับ 15 x 15 คือ 225 นาที หรือ 3 ชม. 45 นาที ในขณะที่รังสี UVA จะพบได้ตลอดวันและทำลายผิวหนังชั้นลึกกว่า UVB แต่ปริมาณรังสีในอากาศมีไม่มาก แม้ว่าจะใช้ครีมกันแดดดีอย่างไร ก็มีแสงบางส่วนเล็ดรอดไปสู่ผิวหนังได้ ดังนั้นในความเป็นจริงอาจจะเป็นเวลาประมาณ 2 ชม. ดังนั้นอาจจะต้องทาครีมกันแดดทุก 1-2 ชั่วโมง ที่ดีคือหลีกเลี่ยงแสงแดด
ครีมกันแดดในปัจจุบัน จึงได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อป้องกันแสง UVA เพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจาก UVA ก็สามารถทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้เหมือน UVB แต่การวัดประสิทธิภาพของการป้องกันแสง UVA ยังไม่มีมาตรฐานสากลเหมือนค่า SPF สำหรับครีมกันแดดที่มีฉลากว่ากันได้ทั้ง UVA, UVB นั้น ในต่างประเทศได้มีผู้นำมาทดสอบ พบว่า ความสามารถในการป้องกัน UVA ต่างกันมาก และไม่สัมพันธ์กับค่า SPF ที่สูงขึ้น เช่น ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 45 ไม่สามารถกัน UVA ได้ดีกว่ายากันแดดที่มีค่า SPF 15 เป็นต้น ทำให้มีปัญหากับผู้บริโภคในการเลือกใช้อย่างเหมาะสม
_
การเลือกครีมกันแดด
ครีมกันแดดออกฤทธิ์โดยการดูดแสง หรือสะท้อนแสงออกไป มีด้วยกันหลายชนิด คือ เป็นโลชั่น ครีม เยล สเปรย์ การเลือกต้องเลือก SPF ที่มีตัวเลขมากๆ ซึ่งจะกันแสงได้ดี นอกจากนั้นยังมีครีมกันแดดที่กันทั้ง UVB และ UVA
สารกันแดดที่กัน UVB จะกันรังสีช่วง 290-320 Nanometers จะมีสาร
สารกันแดดที่มีฤทธิ์ป้องกัน UVA จะกันรังสีช่วง 320 - 400 Nanometers ครีมที่ป้องกันรังสีได้ดี คือ Zinc Oxide และ Avobenzone Zinc Oxide จะกันได้รังสีได้ทั้งสองชนิด สามารถใช้เป็นครีมชนิดเดียวที่กันรังสีได้ 2 ชนิด ส่วนสารอื่นที่กันรังสี UVA ได้บ้าง ได้แก่ Oxybenzone, Parsol 1789, TiO2, Mexoryl SX, XL เป็นต้น ซึ่งครีมกันแดดในท้องตลาดที่มีประสิทธิภาพกัน UVA ได้ดีน่าจะมีสารที่กล่าวแล้วข้างต้นผสมกันอย่างน้อย 2 ชนิด ขึ้นไปในความเข้มข้น 2 - 3%
การทาครีมต้องทาก่อนออกแดดครึ่งชั่วโมง และควรทาซ้ำทุก 1 - 2 ชั่วโมง แม้ว่าจะเป็นครีมที่กันน้ำ
วิธีป้องกันแสงแดด
ควรทายากันแดดให้หนาเพียงพอ 15 นาที ก่อนอยู่กลางแสงแดด และทาซ้ำทุก 1 - 2 ชม. ถ้าว่ายน้ำหรืออยู่กลางแดดจัดตลอดเวลา
สำหรับการใช้ยากันแดดประจำวัน ในผู้ที่ทำงานในร่ม และใช้เวลานอกอาคาร หรือรถยนต์เฉพาะช่างเช้าก่อน 9 นาฬิกา และหลัง 15 นาฬิกา อาจไม่มีความจำเป็นเนื่องจากแสง UVB, UVA สามารถผ่านกระจกรถที่ติดฟิล์มกรองแสงได้น้อยกว่า 5% และแสง UV ในช่วงเวลาเช้าตรู่และเย็นมีปริมาณน้อย
โดยสรุป
การป้องกันอันตรายทั้งระยะสั้นและระยะยาวจากแสงแดด ควรเริ่มตั้งแต่วัยเด็กด้วยการให้ความรู้ ให้หลีกเลี่ยงการตากแดดจัด ป้องกันร่างกายอย่างมิดชิดด้วยเสื้อผ้า, แว่นตา, หมวก และร่ม เลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมกับกิจกรรมแต่ละประเภท แต่สิ่งที่ต้องระลึกไว้เสมอ ก็คือ การได้อยู่กลางแสงแดดจะทำให้ร่างกายและจิตใจสดชื่น เนื่องจาก มีการหลั่งของสาร Endorphin และร่างกายยังต้องการวิตามินดีจากแสงแดดเพื่อกระดูกแข็งแรง โดยเฉพาะในวัยเด็กและผู้สูงอายุ เนื่องจากปริมาณวิตามินดีจากอาหารไม่เพียงพอ ดังนั้นควรได้รับแสงแดดอย่างสม่ำเสมอครั้งละ 15 - 30 นาทีสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง ในเวลาเช้าหรือบ่ายที่แสงแดดปานกลาง การป้องกันแสงแดดหรือการป้องกัน UV ควรจะทำตั้งแต่เป็นเด็กและให้ใช้หลายๆ วิธีซึ่งจะป้องกันอันตรายต่อผิวหนัง
การเลือกครีมกันแดด
ครีมกันแดดออกฤทธิ์โดยการดูดแสง หรือสะท้อนแสงออกไป มีด้วยกันหลายชนิด คือ เป็นโลชั่น ครีม เยล สเปรย์ การเลือกต้องเลือก SPF ที่มีตัวเลขมากๆ ซึ่งจะกันแสงได้ดี นอกจากนั้นยังมีครีมกันแดดที่กันทั้ง UVB และ UVA
สารกันแดดที่กัน UVB จะกันรังสีช่วง 290-320 Nanometers จะมีสาร
- Benzophenones : Dioxybenzone, Oxybenzone, Sulisolxybenzone
- Cinnamates : Cinoxate, Octocrylene, Octyl Methoxycinnamate
- PABA Derivatives : Ethyl - 4 - (Hydroxypropyl) Aminobenzoate
- Salicylates : Octyl Salicylate, Trolamine Salicylate
สารกันแดดที่มีฤทธิ์ป้องกัน UVA จะกันรังสีช่วง 320 - 400 Nanometers ครีมที่ป้องกันรังสีได้ดี คือ Zinc Oxide และ Avobenzone Zinc Oxide จะกันได้รังสีได้ทั้งสองชนิด สามารถใช้เป็นครีมชนิดเดียวที่กันรังสีได้ 2 ชนิด ส่วนสารอื่นที่กันรังสี UVA ได้บ้าง ได้แก่ Oxybenzone, Parsol 1789, TiO2, Mexoryl SX, XL เป็นต้น ซึ่งครีมกันแดดในท้องตลาดที่มีประสิทธิภาพกัน UVA ได้ดีน่าจะมีสารที่กล่าวแล้วข้างต้นผสมกันอย่างน้อย 2 ชนิด ขึ้นไปในความเข้มข้น 2 - 3%
การทาครีมต้องทาก่อนออกแดดครึ่งชั่วโมง และควรทาซ้ำทุก 1 - 2 ชั่วโมง แม้ว่าจะเป็นครีมที่กันน้ำ
วิธีป้องกันแสงแดด
- ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 15 ในส่วนที่ต้องสัมผัสแสงแดด รวมทั้งริมฝีปาก และมีสารเคมีที่กัน UVA ได้ดีอย่างน้อย 2 ชนิด เช่น Oxybenzone + TiQ หรือ Parsol 1789+ ZnO เป็นต้น
- ใช้ครีมกันแดดที่ทนต่อน้ำ หากต้องว่ายน้ำ หรือเหงื่อออกมาก
- ให้ทาครีมทุก 1 - 2 ชั่วโมง หากต้องอยู่ในแสงแดดตลอดเวลา
- สวมเสื้อผ้า หมวกปีกกว้าง สวมแว่นกันแดด และกางร่มเสมอเมื่อต้องออกแดด
- หาที่ร่มเสมอ
- หลีกเลี่ยงการออกแดดเวลา 10.00 - 16.00 นาฬิกา แม้ว่าจะมีเมฆก็ตาม
- เมื่ออยู่ชายหาดควรจะอยู่ในที่ร่ม แต่แสง UV สามารถสะท้อนแสงกับทรายที่ชายหาด
- สวมแว่นกันแดด
- เสื้อผ้าที่บางหรือเปียกจะมีการสะท้อนแสงได้ไม่ดี ควรใส่เสื้อที่หนาและหลวมๆ จะกันแสงแดดได้ดี ควรใช้ผ้าฝ้ายป้องกันรังสีดีกว่าผ้าที่ทำจากใยสังเคราะห์
- หากคุณไปเมื่องนอกที่มีหิมะตก ก็ต้องทาครีมกันแดดเพราะหิมะจะสะท้อนแสงแดดได้ดี
ควรทายากันแดดให้หนาเพียงพอ 15 นาที ก่อนอยู่กลางแสงแดด และทาซ้ำทุก 1 - 2 ชม. ถ้าว่ายน้ำหรืออยู่กลางแดดจัดตลอดเวลา
สำหรับการใช้ยากันแดดประจำวัน ในผู้ที่ทำงานในร่ม และใช้เวลานอกอาคาร หรือรถยนต์เฉพาะช่างเช้าก่อน 9 นาฬิกา และหลัง 15 นาฬิกา อาจไม่มีความจำเป็นเนื่องจากแสง UVB, UVA สามารถผ่านกระจกรถที่ติดฟิล์มกรองแสงได้น้อยกว่า 5% และแสง UV ในช่วงเวลาเช้าตรู่และเย็นมีปริมาณน้อย
โดยสรุป
การป้องกันอันตรายทั้งระยะสั้นและระยะยาวจากแสงแดด ควรเริ่มตั้งแต่วัยเด็กด้วยการให้ความรู้ ให้หลีกเลี่ยงการตากแดดจัด ป้องกันร่างกายอย่างมิดชิดด้วยเสื้อผ้า, แว่นตา, หมวก และร่ม เลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมกับกิจกรรมแต่ละประเภท แต่สิ่งที่ต้องระลึกไว้เสมอ ก็คือ การได้อยู่กลางแสงแดดจะทำให้ร่างกายและจิตใจสดชื่น เนื่องจาก มีการหลั่งของสาร Endorphin และร่างกายยังต้องการวิตามินดีจากแสงแดดเพื่อกระดูกแข็งแรง โดยเฉพาะในวัยเด็กและผู้สูงอายุ เนื่องจากปริมาณวิตามินดีจากอาหารไม่เพียงพอ ดังนั้นควรได้รับแสงแดดอย่างสม่ำเสมอครั้งละ 15 - 30 นาทีสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง ในเวลาเช้าหรือบ่ายที่แสงแดดปานกลาง การป้องกันแสงแดดหรือการป้องกัน UV ควรจะทำตั้งแต่เป็นเด็กและให้ใช้หลายๆ วิธีซึ่งจะป้องกันอันตรายต่อผิวหนัง
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล
http://www.siamhealth.net/public_html/Health/Photo_teaching/sun/sunscreen.htm
_
สามารถโทรสอบถาม และใช้บริการได้ที่
ParBeauty & Slim
ปลาบิวตี้ & สลิม
เบอร์โทร. 08-7210-0901. 09-1619-1724
ถ.ริมหนองสมบูรณ์ (วงศ์สวรรค์) อ.เมือง จ.นครสวรรค์ 60000
สามารถโทรสอบถาม และใช้บริการได้ที่
ParBeauty & Slim
ปลาบิวตี้ & สลิม
เบอร์โทร. 08-7210-0901. 09-1619-1724
ถ.ริมหนองสมบูรณ์ (วงศ์สวรรค์) อ.เมือง จ.นครสวรรค์ 60000