หลากวิธี รักษาหลุมสิว รอยแผลเป็นสิวยังคงเป็นปัญหาที่สร้างความกังวลให้กับหลายๆคน ไม่แพ้ปัญหาสิวนะคะ การรักษาหลุมแผลเป็น จำเป็นต้องใช้วิธีทางการแพทย์เข้ามาช่วย และ ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษา นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการรักษาหลุมแผลเป็น ก็ค่อนข้างสูงด้วยค่ะ ดังนั้นทางที่ดีที่สุด ก็คือ ป้องกันการเกิด หลุมแผลเป็น โดยการรักษาสิวอย่างถูกวิธี และหลีกเลี่ยงการบีบ แกะ สิว อย่างไรก็ตามในกรณีที่เป็นสิวอักเสบรุนแรง ก็มีโอกาสเกิดหลุมแผลเป็นได้ค่ะ หลุมแผลเป็น หลุมแผลเป็นจากสิวมีหลายแบบ การรักษาหลุมแผลเป็น ก็มีหลายวิธี ขึ้นกับชนิดของหลุมแผลเป็นค่ะ เรามารู้จักกับชนิดและการรักษาหลุมแผลเป็นกันค่ะ ปัญหาแผลเป็นรอยหลุมสิว มักเกิดจากสาเหตุการมีปัญหาสิวอักเสบมาก่อน เมื่อแตกหรือยุบตัวก็เกิดรอยหลุมขึ้น ซึ่งมักจะเกิดจากสิวอักเสบขนาดใหญ่แตกและยุบตัวอย่างรวดเร็ว (แม้จะไม่ได้กด หรือบีบเอง) หรือสิวอุดตัน หรือสิวอักเสบขนาดเล็กที่รักษาไม่ถูกวิธี มีการกดหรือบีบสิวอย่างผิดวิธี |
การป้องกัน
เมื่อเกิดปัญหาสิวบนผิวหน้า ควรพบแพทย์ผิวหนังตั้งแต่แรกที่เกิดขึ้น เพื่อมิให้เกิดผลแทรกซ้อน หรือร่องรอยของโรคหลงเหลือภายหลัง ห้ามกดหรือบีบสิวเองโดยเด็ดขาด ชนิดของรอยหลุมสิว (Contour Irregularities Acne Scar) แบ่งได้เป็น 1. แผลเป็น ชนิด Ice Pick Scar เป็นรอยหลุมจิกลึก ขอบแคบ ขนาดมักไม่เกิน 0.5 มม. แล้วอาจจะกว้างเล็กน้อยที่ฐานของหลุม มักเกิดจากการกด หรือบีบสิวอุดตันให้หลุดออก เป็นรอยหลุมที่รักษาให้เรียบได้ยากที่สุดกว่าแบบอื่นๆ 2. แผลเป็น ชนิด Box Car Scar เป็นรอยหลุมกว้าง ขนาดใหญ่ คล้ายล้อรถทับ ขนาดมักจะประมาณ 3 - 4 มม. ขอบและฐานหลุมขนาดใกล้เคียงกัน มักจะพบพังผืด (Fibrosis) เกาะติดในชั้นหนังแท้ มักเกิดจากผลของการอักเสบของสิวขนาดใหญ่ๆ หรือแผลเป็นอีสุกอีใส ทำให้เวลาดึงให้ตึงจะเรียบได้ยาก เป็นรอยหลุมที่รักษาได้ยากเช่นกัน |
3. แผลเป็น ชนิด Rolling Scar มีลักษณะเป็นรอยหลุมฐานโค้งคล้ายกะทะ พื้นนุ่ม เวลาดึงให้ตึง แล้วทำให้ขอบแผลเรียบได้ มักเกิดจากผลของการอักเสบของสิวขนาดใหญ่ๆ ที่ได้รับการรักษามาบ้าง แต่การยุบตัวของสิวไม่สัมพันธ์กับการสมานผิว เป็นรอยหลุมสิวที่ให้ผลการรักษาได้ดีกว่ารอยหลุมแบบอื่นๆ
การรักษารอยหลุมสิวในปัจจุบัน มีหลายๆ วิธีที่ช่วยทำให้รอยหลุมจากสิวดีขึ้นได้ แต่ก็ยังไม่มีวิธีใดได้ผล 100% แต่ละวิธี จะช่วยทำให้รอยหลุมตื้นและดีขึ้นได้ มากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับลักษณะของรอยหลุมด้วย แบ่งกลไกการรักษาดังนี้
1. การทำให้เซลล์หลุดลอกออก ทำให้รอยหลุมตื้นขึ้น แบ่งเป็น
การรักษารอยหลุมสิวในปัจจุบัน มีหลายๆ วิธีที่ช่วยทำให้รอยหลุมจากสิวดีขึ้นได้ แต่ก็ยังไม่มีวิธีใดได้ผล 100% แต่ละวิธี จะช่วยทำให้รอยหลุมตื้นและดีขึ้นได้ มากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับลักษณะของรอยหลุมด้วย แบ่งกลไกการรักษาดังนี้
1. การทำให้เซลล์หลุดลอกออก ทำให้รอยหลุมตื้นขึ้น แบ่งเป็น
1.1 Chemical Peeling: โดยการแต้มด้วยกรดเข้มข้น เช่น 50% - 70% AHA หรือ 30% -50% TCA กลไกการรักษา ก็คือ การทำให้เซลล์ผิวชั้นนอกบริเวณรอยหลุม หลุดลอกออกช้าๆ เพื่อเตรียมให้บริเวณที่ต้องการรักษา นุ่มและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้เซลล์ผิวใหม่ที่ได้มีการแบ่งตัว และดันตัวขึ้นมาบริเวณรอยหลุม พร้อมแก้ไขเซลผิวหนังชั้นนอกที่มีปัญหาให้กลับคืนสู่สภาพปกติ มักจะใช้ในการรักษารอยหลุมสิวทั้ง 3 แบบ คือ Ice Pick Scar, Box Car Scar, Rolling Scar โดยแต้มทุก 2 - 3 อาทิตย์ต่อครั้ง |
1.2 การกรอผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion): โดยการกรอผิวหน้า ให้หลุดลอกออกด้วยเกร็ดอัญมณีขนาดเล็กมาก ประมาณ 80 - 100 Micron ซึ่งผลึกครีสตัลที่นิยมใช้ ก็คือ Aluminium Oxide โดยให้วิ่งตามการพ่นของเครื่องปั๊มในกระบอกสูญญากาศที่ปลอดเชื้อ ( Air Flow in Sterile Closed System) โดยมีการปรับความแรง ความเร็วในการพ่นผลึกดังกล่าวได้ตามต้องการของผู้ใช้ ทำให้รอยหลุมตื้นขึ้นได้และต้องทำหลายๆ ครั้ง เพราะต้องค่อยๆ กรอบางๆ เพราะถ้ากรอลึกเกินไป อาจจะทำให้เกิดรอยแดง รอยดำไ ด้และทำให้เจ็บปวดขณะทำได้ นอกเหนือจากนี้ผู้ทำการกรอควรเป็นแพทย์ หรือผู้ที่เชี่ยวชาญ และชำนาญด้านนี้มาพอสมควร จึงจะได้ผลดี และผลข้างเคียงน้อยสุด ระยะเวลาในการกรอจะแตกต่างกันแล้วแต่การพิจารณาของแพทย์ โดยคำนึงถึงผลที่ได้ และผลข้างเคียงที่จะเกิดภายหลัง เช่น กรอน้อยไป อาจจะได้ผลน้อยกว่า การกรอลึก หรือกรอนาน แต่ก็มีผลข้างเคียง (เช่น รอยถลอก รอยแดง หรือแสบหลังกรอ ทาครีมอื่นๆไม่ได้) การกรอผิว มักจะใช้ในการรักษารอยหลุมสิวทั้ง 3 แบบ คือ Ice Pick Scar, Box Car Scar, Rolling Scar แต่ใน 2 แบบแรก จะได้ผลช้าและน้อยกว่า Rolling Scar ส่วนใหญ่มักจะนัดกรอผิวทุก 1 - 2 อาทิตย์ และเว้นเป็นช่วงๆ เพื่อมิให้ผิวหน้าบางเกินไป |
1.3 การกรอผิวหน้าด้วยเลเซอร์ (Laser Resurface):
ที่นิยมทำ ก็คือ การกรอด้วยเครื่อง Co2 (UltraPulse) Laser หรือ Erbium: YaG Laser 2940 nm (Laser Peel) หรือทำทั้งสองอย่างร่วมกัน การกรอหรือลอกเซลล์ผิวหน้าด้วยเลเซอร์ นิยมใช้แก้ปัญหารอยหลุมที่มีมากและทั่วหน้า ได้ผลดีเร็วทันใจ ทำให้รอยหลุมตื้นได้มากๆ และได้ผลเร็ว (สำหรับคนใจร้อนๆ) แต่ก็จะต้องเสี่ยงกับผลข้างเคียงที่ค่อนข้างมาก เช่น ความเจ็บปวดขณะทำ หลังทำคนไข้อาจมีรอยแดง มีการอักเสบ ต้องพักฟื้นหยุดงาน มากกว่า 1 - 2 อาทิตย์ และมักเกิดรอยดำหลังการรักษา โดยเฉพาะในคนเอเซีย รอยดำคล้ำ อาจนานเป็นปีกว่าจะจางหายไป และก็มีโอกาสติดเชื้อจากบาดแผลก็เกิดได้สูงกว่า และ ต้องทำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนี้มาอย่างดี มักจะใช้ในการรักษารอยหลุมสิวทั้ง 3 แบบ คือ Ice Pick Scar, Box Car Scar, Rolling Scar
2. การเติมรอยหลุมให้เต็มขึ้นใต้ผิวหนัง แบ่งได้เป็น
2.1 ยากลุ่มวิตามินเอ: โดยพบว่า Retinol ซึ่งเป็นอนุพันธุ์ของวิตามินเอ สามารถนำมารักษารอยหลุมจากสิว ได้ระดับหนึ่ง โดยออกฤทธิ์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ ทำให้รอยหลุมตื้นขึ้น แบ่งได้เป็น 2.1.1 0.05 - 0.1% Retin - A: ซึ่งเป็นวิตามินเอเจล ความเข้มข้นสูง นำมาใช้ในการรรักษาด้วยเครื่องไอออนโต แล้วใช้หลักการประจุบวก ลบทำการผลักยาให้แทรกซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ลึกขึ้นกว่าการทาครีมปกติ ทำให้ผลการรักษาเร็วขึ้น สามารถทำได้ 2 ครั้งต่ออาทิตย์ |
2.1.2. ยารับประทานกลุ่ม Retinoids: ซึ่งสกัดจากอนุพันธุ์ของวิตามินเอ เช่น Roaccutane, Isotretinoin, Acnotin มักนิยมให้คนไข้ไปรับประทานทุกวัน วันละ 10 - 20 มก. เพราะนอกจากจะแก้ไขปัญหาผิวหน้ามัน สิว กระชับรูขุมขนแล้ว ยังมีหลักฐานสนับสนุนว่า ช่วยทำให้ผิวหน้าและรอยหลุมเรียบเนียนขึ้น โดยไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูสภาพผิวในชั้นหนังแท้ แต่ตัวยาดังกล่าวก็มีผลข้างเคียงเช่นกัน ถ้าใช้ติดต่อกันระยะเวลานาน
2.1.3. ครีมทาลบแผลเป็นริ้วรอย: ซึ่งประกอบด้วยวิตามินเอ อี AHA จะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลใหม่ให้ เลื่อนขึ้นมาเต็มบริเวณรอยหลุม แต่ทั้งนี้บริเวณเซลผิวชั้นนอก ต้องมีความยืดหยุ่นอ่อนนุ่ม (ซึ่งควรจะได้รับการรักษาก่อนด้วย)
2.2. การเติมรอยหลุมด้วย Filler agents:
คือ การฉีดสารเติมให้เต็มเข้าไปที่รอยหลุมโดยตรง ได้ผลเร็ว แต่มักจะใช้ในกรณีรอยหลุมแบบ Rolling Scar ที่ไม่มีพังผืดยึดเกาะที่ฐาน เพราะรอยหลุมแบบอื่นๆ ไม่สามารถเติมให้เต็มได้ เพราะผนังจะหนาและแข็ง ทำให้สารที่เติมขณะฉีดจะไปอยู่ในชั้นผิวหนังปกติ ทำให้คลำเป็นก้อนๆ ได้ การเติมด้วยสารนี้ แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
2.1.3. ครีมทาลบแผลเป็นริ้วรอย: ซึ่งประกอบด้วยวิตามินเอ อี AHA จะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลใหม่ให้ เลื่อนขึ้นมาเต็มบริเวณรอยหลุม แต่ทั้งนี้บริเวณเซลผิวชั้นนอก ต้องมีความยืดหยุ่นอ่อนนุ่ม (ซึ่งควรจะได้รับการรักษาก่อนด้วย)
2.2. การเติมรอยหลุมด้วย Filler agents:
คือ การฉีดสารเติมให้เต็มเข้าไปที่รอยหลุมโดยตรง ได้ผลเร็ว แต่มักจะใช้ในกรณีรอยหลุมแบบ Rolling Scar ที่ไม่มีพังผืดยึดเกาะที่ฐาน เพราะรอยหลุมแบบอื่นๆ ไม่สามารถเติมให้เต็มได้ เพราะผนังจะหนาและแข็ง ทำให้สารที่เติมขณะฉีดจะไปอยู่ในชั้นผิวหนังปกติ ทำให้คลำเป็นก้อนๆ ได้ การเติมด้วยสารนี้ แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
2.2.1 Temporary filler agents: คือ การฉีดเติมสารเข้าไปที่รอยหลุมโดยตรง แต่อยู่ได้ชั่วคราวประมาณ 3 เดือน ถึง 1 ปี ได้แก่ คอลลาเจน เช่น Zyplast, Zyderm (ซึ่งเป็นสารโปรตีน ที่สกัดจากสัตว์ มีอายุอยู่ได้ประมาณ 3 - 6 เดือน แต่มีข้อเสีย คือ ต้องเทสต์ก่อนฉีดจริง เนื่องจากอาจทำให้แพ้ได้), Hyaluronic Acid โมเลกุลเล็ก เช่น Restylane, Hyalaform (เป็นกลุ่มที่สกัดจากแบคทีเรีย และหงอนไก่ ในห้องทดลอง มีอายุได้ประมาณ 1 ปี มีข้อดี ก็คือ ไม่แพ้ และไม่ต้องเทสต์ก่อนฉีดจริง) ซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน มากกว่าการฉีดคอลลาเจน
2.2.2 Semi- permiable filler agents: คือ การฉีดเติมสารเข้าไปที่รอยหลุมโดยตรง แต่อยู่ได้ชั่วคราวประมาณ 2 - 3 ปี มักไม่พบอาการแพ้ ได้แก่ กลุ่ม Hyaluronic Acid โมเลกุลใหญ่ เช่น Dermalive, Dermadeep หรือกลุ่ม Artecoll แต่ข้อมีข้อจำกัด ก็คือ จะฉีดยากและเจ็บกว่าแบบแรก และก็มีโอกาสเกิดก้อนเนื้อ (Granuloma) ได้ประมาณ 5% |
2.2.3 Premanent Filler agents: ได้แก่ New - Fill (เป็นสารสังเคราะห์ประเภท Polylactic Hydrogel) Bioplatique ที่แม้จะมีอัตราการแพ้น้อย และอยู่ได้นานกว่าหลายปี แต่ก็มีข้อเสีย ก็คือ ฉีดยาก เจ็บ และมักคลำก้อนได้ นอกจากนี้ยังมีโอกาสเกิดก้อนเนื้อ Granuloma ได้ถึง 30 %
2.3 Non - Ablative Laser
ได้แก่ เลเซอร์ที่มีลักษณะเป็นคลื่นแสงความถี่จำเพาะ ซึ่งแตกต่างจากเลเซอร์กลุ่มเดิมๆ โดยมีคุณสมบัติในการรักษาผิวหน้าส่วนลึก โดยไม่มีผลต่อผิวหน้าส่วนบน ทำให้เกิดผลข้างเคียงจาก เลเซอร์ น้อยลงกว่าเลเซอร์ยุคก่อนๆ ส่วนใหญ่จะเริ่มมีการนำมารักษาปัญหาผิวพรรณตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่และในการรักษาปัญหาผิวหน้า และรอยหลุม ด้วยวิธี Photorejuvenation โดยออกฤทธิ์ทำให้ผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) เกิดอาการบาดเจ็บ (Tissue Injury) แล้วร่างกายจะตอบสนองโดยการซ่อมแซมให้ดีขึ้น ทำให้มีการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใหม่ และทำให้มีการเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจน และปรับเซลล์ผิวหน้าในชั้นหนังกำพร้าให้กระชับมากขึ้น จึงทำให้รอยหลุมเรียบเนียนได้ ซึ่งปัจจุบันเลเซอร์ในกลุ่มนี้ ที่นำมารักษารอยหลุมสิว เรียงตามลำดับการพัฒนาดังนี้
2.3 Non - Ablative Laser
ได้แก่ เลเซอร์ที่มีลักษณะเป็นคลื่นแสงความถี่จำเพาะ ซึ่งแตกต่างจากเลเซอร์กลุ่มเดิมๆ โดยมีคุณสมบัติในการรักษาผิวหน้าส่วนลึก โดยไม่มีผลต่อผิวหน้าส่วนบน ทำให้เกิดผลข้างเคียงจาก เลเซอร์ น้อยลงกว่าเลเซอร์ยุคก่อนๆ ส่วนใหญ่จะเริ่มมีการนำมารักษาปัญหาผิวพรรณตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่และในการรักษาปัญหาผิวหน้า และรอยหลุม ด้วยวิธี Photorejuvenation โดยออกฤทธิ์ทำให้ผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) เกิดอาการบาดเจ็บ (Tissue Injury) แล้วร่างกายจะตอบสนองโดยการซ่อมแซมให้ดีขึ้น ทำให้มีการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใหม่ และทำให้มีการเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจน และปรับเซลล์ผิวหน้าในชั้นหนังกำพร้าให้กระชับมากขึ้น จึงทำให้รอยหลุมเรียบเนียนได้ ซึ่งปัจจุบันเลเซอร์ในกลุ่มนี้ ที่นำมารักษารอยหลุมสิว เรียงตามลำดับการพัฒนาดังนี้
IPL
|
2.3.1 IPL (Intense Pulse Light): จัดเป็น เลเซอร์ความถี่จำเพาะ รุ่นแรกๆ ที่ใช้หลักการรักษารอยหลุม ด้วยวิธี Photorejuvenation จะใช้ได้ผลบ้าง ในกรณีรอยหลุมแบบ Rolling Scar ที่ไม่มีพังผืดยึดเกาะที่ฐาน ส่วนรอยหลุมแบบอื่นๆ จะได้ผลน้อยกว่า และก็ต้องทำหลายๆ ครั้ง 2.3.2 Cool touch: จัดเป็น เลเซอร์กลุ่ม Nd: YaG ความถี่ 1320 nm. ซึ่งได้ผลิตออกมาไล่เลี่ยกับ IPL โดยได้มีแพทย์บางกลุ่มได้ใช้ เลเซอร์ชนิดนี้มารักษารอยหลุมเช่นเดียวกัน เพราะเชื่อว่าสามารถยิงลำแสงเลเซอร์ลงได้ลึกกว่า IPL แต่จากรายงานระยะต่อมา พบว่าได้ผลในการรักษารอยหลุมไม่แตกต่างกันมากนักกับเครื่อง IPL 2.3.3 Smooth Beam: จัดเป็น เลเซอร์ กลุ่ม Diode Laser ความถี่ 1450 nm. ซึ่งได้ผลิตออกมาหลัง เลเซอร์ Cool Touch ได้มีแพทย์บางกลุ่ม นำมารักษารอยหลุมสิวเช่นกัน แต่ก็พบว่าได้ผลในการรักษารอยหลุมไม่แตกต่างกันมากนักกับเครื่อง IPL และ Cool Touch |
2.3.4 Fractional Photothermolysis (เช่น Fraxel) : ถือว่าเป็น Non - Ablative Laser ตัวล่าสุด เริ่มมีการผลิตและนำเข้ามารักษาปัญหารอยหลุมในปี ค.ศ. 2004 และได้การรับรองจาก FDA จากอเมริกาในปี ค.ศ. 2006 ว่า สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอย ฝ้า กระ ตลอดจนรอยหลุมสิว ผิวหน้าไม่เรียบ ให้มีสภาพกลับมาดีขึ้น อย่างได้ผลชัดเจน ในระยะเวลาไม่นาน หลักการทำงานของ FP ก็คือ การปล่อยคลื่นแสงในช่วง Mid - Infrared ที่มีความยาวช่วงคลื่นที่ 1,550 นาโนเมตร ลงไปใต้ผิวหนัง บริเวณที่มีปัญหา โดยจะทำงานแตกต่างจากเลเซอร์รุ่นก่อนๆ ซึ่งเดิมจะใช้เลเซอร์ คลื่นแสงเดียววิ่งเป็นเส้นตรงไปยังเป้าหมายที่ต้องการรักษา แต่เทคนิค FP จะปล่อยพลังงาน ออกมาเป็นอนุภาคเล็กมากๆ แต่ละจุดที่ปล่อยจะเรียกว่า Microthermal Treatment Zone (MTZ) โดยจะปล่อยประมาณ 1,250 - 2,500 จุดต่อบริเวณผิว 1 ตร.ซม. ทำให้มีการทำลายเซลล์ผิวที่ผิดปกติออกไปเป็นจุดเล็กๆ มากๆ จนตาเปล่ามองไม่เห็น เซลล์ผิวดีที่อยู่รอบข้างจะเป็นตัวซ่อมแซมให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ ขึ้นมาแทนที่ภายใน 24 ชั่วโมง เปรียบเหมือนการตกแต่งภาพในคอมพิวเตอร์ ที่มีการแก้ไขจุดบกพร่อง ทีละพิกเซล พบว่า เลเซอร์ชนิดนี้สามารถแก้ไขรอยหลุมสิวให้ดีขึ้น ได้กับรอยหลุมสิวทุกชนิด
|
2.4 Skin Needling (Dermarolling): จัดเป็นเทคนิคใหม่ในการแก้ไขปัญหาผิวพรรณ โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Derma Roller มีลักษณะเป็นลูกกลิ้งที่มีเข็มเล็กๆ จำนวนมาก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.25 มม. ยาว 1.5 มม. กลิ้งไปบนผิวหนัง เข็มจะลงได้ลึกถึงชั้นหนังแท้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดการอักเสบเล็กๆ แล้วร่างกายจะซ่อมแซมอาการบาดเจ็บ โดยการสร้างเซลล์ใหม่ ด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน และมีการจัดโครงสร้างเนื้อเยื่อใหม่ (Remodeling) ในเนื้อเยื่อผิวชั้นหนังแท้ ( Dermis) ขณะที่ทำการรักษาจะทำให้เกิดรูขนาดเล็กจำนวนมากบนผิวหนัง เมื่อเติมสารบำรุงหรือยา ที่สำคัญลงไปร่วมด้วย จะทำให้สามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ลึกและได้ผลกว่าการทายาทั่วไปถึง 40 เท่า เมื่อการทำรักษาหลายๆ ครั้งอย่างต่อเนื่อง พบว่าทำให้เกิดกระบวนการจัดโครงสร้างผิวหน้าใหม่ โดยมี Fibroblast เป็นตัวที่มีบทบาทมากที่สุด ทำให้เกิดคอลลาเจนเพิ่มขึ้นๆ และแข็งแรงขึ้น (จาก Collagen Type 1 > Type 3) การรักษาวิธีนี้จะคล้ายๆ กับการหายของแผลหลังทำการลอกหน้าด้วยเลเซอร์ แต่จะไม่มีการทำลายชั้นหนังกำพร้า หรือผิวหน้าส่วนบนให้เกิดผลเสีย หรือผิวหน้าบาง หรือเกิดแผลเป็นใดๆ จัดว่าเป็นการรักษารอยหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพในการรักษามากและเห็นผลได้รวด เร็ว Skin Needling จัดเป็นเทคนิคการรักษารอยหลุมที่ได้ผลดีกับรอยหลุมสิวทุกชนิด เช่นเดียวกับ เลเซอร์ Fraxel
|
เริ่มมีการทำการรักษากับคนไข้ที่มีปัญหารอยหลุมสิว ในปี ค.ศ. 2002 โดยแพทย์จากสวิสเซอร์แลนด์ และเสนอรายงานการรักษาอย่างได้ผล จึงทำให้กลุ่มแพทย์ทางยุโรปได้เริ่มทำการรักษาด้วยวิธีนี้กันมากขึ้น โดยพบว่าผลการรักษาได้ผลดีมาก ไม่แตกต่างกับการรักษาด้วยเลเซอร์ กลุ่ม Fractional Photothermolysis (Fraxel) แต่ไม่ต้องเสี่ยงกับผลข้างเคียงจากเลเซอร์ และค่าใช้จ่ายก็ถูกกว่า
2.5 Dermapoint (Autonomic Dermaroller): คือ การทำ Skin Needling แต่ใช้เครื่องมืออีกแบบ ที่ประกอบด้วยเข็มขนาดเล็กมาก บรรจุอัดแน่นรวมกันเป็นกระจุก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ซม. มีประมาณ 9 หัวเข็ม ขนาดของเข็มประมาณเบอร์ 32 มีความยาวแตกต่างกัน 2 รุ่น คือ เข็มที่ยาว 0.7 มม. และ 1.5 มม. แล้วนำมาต่อเข้าเครื่องมอเตอร์ เวลาทำก็จะปรับความเร็วในการแทงเข็ม คล้ายๆ กับการสัก ทำให้สามารถชอนไชไปทำการรักษาในบริเวณเล็กๆ ที่ต้องการได้ สรรพคุณจึงคล้ายกับการทำการรักษาด้วยเครื่อง Fraxel แต่ไม่มีผลข้างเคียงด้านรอยดำ เหมาะกับรอยหลุมที่พังผืดยึดเกาะแน่นมากๆ ที่เข็ม Dermaroller กลิ้งแล้วไม่ค่อยได้ผลดีนัก เหมาะกับรอยหลุมที่เกิดในบริเวณที่ทำ Dermaroller ลำบาก เช่น จมูก รอยหลุมเล็กมากๆ (ที่ทำ Subcision ไม่ได้) ริ้วรอยเล็กๆ รอบดวงตา รูขุมขนกว้างไม่มากนัก และ ใช้กรณีคนที่มีรอยหลุมสิวไม่กี่หลุม ถ้าจะทำ Dermaroller ทั้งหน้า อาจจะเปลืองโดยใช่เหตุ |
3. ศัลยกรรมกับการรักษารอยหลุมสิว: แบ่งได้เป็น
3.1 Punch excision: มักนำมารักษารอยหลุมสิว แบบ Ice Pick Scar และ Box Car Scar ที่มีขนาดไม่เกิน 3 มม. โดยการใช้เครื่องมือตัดรอยหลุม แล้วเย็บปิด หรือ ปิดด้วยเทป Sterile Strip หรือ Dermabond
3.2 Punch elevation: มักนำมารักษารอยหลุมสิว แบบ Box Car Scar ที่มีขนาดไม่เกิน 3 มม. โดยการยกรอยหลุมขึ้นในระดับเดียวกับขอบหลุม แล้วเย็บปิด
3.3 Punch grafting: มักนำมารักษารอยหลุมสิว แบบ Ice Pick Scar และ Box Car Scar ที่มีขนาดความลึกไม่ค่อยเท่ากัน โดยการนำผิวหนังจาก ที่อื่นมาเย็บปิดตรงรอยหลุม
3.4 Elliptical excision: มักนำมารักษารอยหลุมสิว แบบ Box car scar ที่มีขนาดไม่เกิน 4 มม. โดยการกรีดผ่าตัดแบบกรีดตามวงรี แล้วทำการเย็บปิด
การทำศัลยกรรมรอยหลุมสิว ในข้อ 3.1 - 3.4 มักจะทำในกรณีที่มีจำนวนรอยหลุมบางชนิดเท่านั้น (แบบ Ice Pick Scar และ Box Car Scar) และมีจำนวนไม่มากนักในร่างกาย แต่ก็ต้องทำโดยแพทย์ที่ชำนาญอย่างมากเท่านั้น เพราะมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น รอยเย็บของแผล สีผิวบริเวณรอยหลุมไม่เท่ากันกับสีผิวข้างเคียง (ในกรณีที่ Graf ที่นำมาปะรอยหลุมอาจจะไม่ติด เกิดการติดเชื้อ หรือแผลเป็นนูนภายหลังได้)
3.5 Subcision: คือการใช้เข็มที่เรียกว่า Nokor Needle (เข็ม ที่มีใบมีดอยู่ตรงปลายเข็ม ใช้สำหรับทำ Subcision โดยเฉพาะ) เบอร์ 18 แทงเซาะบริเวณใต้ฐานหลุม ทำให้มีการแยกชั้นของผิวหนัง พังผืดที่ยึดเกาะรอยหลุมก็จะหลุดออก เกิดเลือดมาสะสมที่ในรอยแยก พร้อมกับนำพา Fibroblast มาทำการซ่อมแซมส่วนที่บาดเจ็บ ให้มีการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ จึงทำให้รอยหลุมตื้นขึ้นได้ เทคนิคนี้ไม่มีรอยกรีดที่ผิวหน้า จึงไม่ต้องเย็บแผล เหมือนวิธีอื่นๆ ในข้อ 3.1 - 3.4 เมื่อหลุมแผลเป็นนูนเสมอผิวปกติแล้ว อาจจะตกแต่งแผลด้วยเลเซอร์ หรือการกรอผิวอีกครั้ง หรือลอกด้วยกรดเข้มข้น เพื่อให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ใช้ได้ผลกับหลุมสิวทุกประเภท แต่ได้ผลดีสุดกับหลุมสิว แบบ Rolling Scar จึงมักจะเป็นวิธีที่แพทย์นำมารักษารอยหลุมสิว ผสมผสานกับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ
สามารถโทรสอบถาม และใช้บริการได้ที่
ParBeauty & Slim
ปลาบิวตี้ & สลิม
เบอร์โทร. 08-7210-0901. 09-1619-1724
ถ.ริมหนองสมบูรณ์ (วงศ์สวรรค์) อ.เมือง จ.นครสวรรค์ 60000