เสริมจมูก โดยไม่ต้องผ่าตัดการเสริมจมูก เป็นการทำศัลยกรรมที่นิยมกันมากที่สุดวิธีหนึ่งหนึ่งในแถบเอเซีย เนื่องจากโครงหน้าของชาวตะวันออก มักจะมีจมูกที่ไม่เป็นสันโด่งสวยงามเหมือนทางตะวันตก การเสริมจมูกมีด้วยกันหลากหลายวิธีในปัจจุบัน แต่แบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 กรรมวิธี ก็คือ การทำผ่าตัดและการไม่ต้องผ่าตัด แต่ละวิธีก็มีจุดเด่น จุดด้อยแตกต่างกัน บทความก่อนหน้านี้ได้นำเสนอเกี่ยวกับการเสริมจมูกด้วยการผ่าตัดไปแล้ว ดังนั้นบทความนี้จะนำเสนอเรื่องการเสริมจมูกโดยไม่ต้องผ่าตัดให้ทราบพอ สังเขป ประกอบการตัดสินใจสำหรับท่านที่ต้องการเติมให้สวย เพิ่มให้หล่อ ดังนี้ |
การเสริมจมูกโดยไม่ต้องผ่าตัด
เป็นการทำศัลยกรรมเสริมแต่งที่เริ่มเป็นที่นิยมในระยะไม่นานมานี้ มักจะทำโดยศัลยแพทย์ หรือแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม (Aesthetic Medicine) หรือแพทย์ผิวหนังที่ผ่านการอบรมแล้ว เหมาะสำหรับท่านที่กลัวการผ่าตัด และไม่อยากหยุดงาน หรือพักฟื้นหลังผ่าตัด หรือกังวลว่าจมูกที่เสริมไปไม่เป็นธรรมชาติ แข็ง หรือกลัวเบี้ยวเอียงในอนาคต โดยวิธีนี้แพทย์จะทำการฉีดสารกลุ่ม Filler Agents เข้าไปใต้ชั้นผิวหนังที่ต้องการเสริม โดยอาจจะเพียงฉีดยาชาหรือทายาชามิให้เจ็บปวด หรือฉีดยานอนหลับ ในกรณีที่คนไข้กลัว หรือตื่นเต้นมากๆ โดยแบ่งออกได้ดังนี้
1. การฉีดสารฟิลเลอร์ ( Filler Agents)
เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน สารฟิลเลอร์ที่นำมาฉีด แนะนำให้เลือกใช้แบบไม่ถาวร (Temporary Fillers ) โดยสารกลุ่มนี้จะทำให้คงอยู่ในร่างกายได้อย่างนานประมาณ 1 ปี เพราะส่วนใหญ่สารฟิลเลอร์กลุ่มนี้จะผ่าน อย. แนะนำให้เลือกสารกลุ่ม HA (Hyaluronic Acid) เพราะกลุ่มนี้จะผ่าน อย.แล้วส่วนใหญ่ และเมื่อไม่พอใจ ก็หรือเปลี่ยนใจจะไปเสริมด้วยการผ่าตัดเสริมแท่ง ก็สามารถจะฉีดให้สลายไปได้ ด้วยสาร Hyaluronidase
ส่วนสารฟิลเลอร์ที่อยู่นานกว่า 1 ปี ปัจจุบันในเมืองไทยยังไม่ผ่าน อย. (ยกตัวอย่างเช่น Aquamid, Aqaulift, Radiesse ฯลฯ) ไม่แนะนำให้ฉีด เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้น โครงหน้าเราจะมีการเปลี่ยนแปลง มีการลดลงของคอลลาเจน และอีลาสติน เกิดการหย่อนคล้อยของโครงหน้า สารที่ฉีดถ้าอยู่นานๆ ในระยะเวลาปีหลังๆ อาจจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมอีกต่อไป ที่สำคัญเมื่อไม่พอใจก็ไม่สลายจะฉีดให้สลายออกไปได ้ต้องรอเวลาให้สลายไปเอง
ส่วนสาร Filler Agents ที่สมัยก่อนนิยมฉีดกันมาก ก็คือ ซิลิโคนเหลว ซึ่งนิยมนำมาฉีดแก้มคางรอยบุ๋ม จมูก โดยบุคคลากร (ซึ่งมักจะไม่ใช่แพทย์) เพราะมีราคาถูกประมาณ 1,000 - 5,000 บาททาง อย. ไม่แนะนำให้ฉีดเด็ดขาด เพราะมีโอกาสไหลเคลื่อนที่ได้บ่อยๆ ทำให้เกิดก้อนเนื้อ (Granuloma) ได้ง่ายและแก้ไขได้ยากต้องทำการผ่าตัดจนอาจเกิดผลข้างเคียงทำให้เสียโฉมได้เราเตือนท่านแล้วนะ!
2. การเสริมจมูกด้วยไหมละลาย (Thread )
เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเสริมจมูก เป็นเทคนิคใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม เพราะการเสริมจมูกด้วยไหมละลายจะอยู่ได้นานกว่า การฉีดฟิลเลอร์ ไหมละลายที่ใช้ควรเลือกที่ผ่าน อย. แล้ว เช่น ไหม PDO (Polydioxanone) โดยจะอยู่ได้ประมาณ 1.5 - 2 ปี ไหมละลายที่อยู่นานกว่านี้ส่วนใหญ่จะยังไม่ผ่าน อย. เมืองไทย อ่านบทความไหมละลายชนิดนี้ได้ที่นี่
การเสริมจมูกด้วยไหมละลาย จะเหมาะกับคนที่มีสันจมูกที่โด่งอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการปรับรูปทรงให้คมขึ้น ยกปลายจมูกให้เิชิด หรือปรับปลายจมูกให้ยื่นยาวมีหยดน้ำ
เป็นการทำศัลยกรรมเสริมแต่งที่เริ่มเป็นที่นิยมในระยะไม่นานมานี้ มักจะทำโดยศัลยแพทย์ หรือแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม (Aesthetic Medicine) หรือแพทย์ผิวหนังที่ผ่านการอบรมแล้ว เหมาะสำหรับท่านที่กลัวการผ่าตัด และไม่อยากหยุดงาน หรือพักฟื้นหลังผ่าตัด หรือกังวลว่าจมูกที่เสริมไปไม่เป็นธรรมชาติ แข็ง หรือกลัวเบี้ยวเอียงในอนาคต โดยวิธีนี้แพทย์จะทำการฉีดสารกลุ่ม Filler Agents เข้าไปใต้ชั้นผิวหนังที่ต้องการเสริม โดยอาจจะเพียงฉีดยาชาหรือทายาชามิให้เจ็บปวด หรือฉีดยานอนหลับ ในกรณีที่คนไข้กลัว หรือตื่นเต้นมากๆ โดยแบ่งออกได้ดังนี้
1. การฉีดสารฟิลเลอร์ ( Filler Agents)
เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน สารฟิลเลอร์ที่นำมาฉีด แนะนำให้เลือกใช้แบบไม่ถาวร (Temporary Fillers ) โดยสารกลุ่มนี้จะทำให้คงอยู่ในร่างกายได้อย่างนานประมาณ 1 ปี เพราะส่วนใหญ่สารฟิลเลอร์กลุ่มนี้จะผ่าน อย. แนะนำให้เลือกสารกลุ่ม HA (Hyaluronic Acid) เพราะกลุ่มนี้จะผ่าน อย.แล้วส่วนใหญ่ และเมื่อไม่พอใจ ก็หรือเปลี่ยนใจจะไปเสริมด้วยการผ่าตัดเสริมแท่ง ก็สามารถจะฉีดให้สลายไปได้ ด้วยสาร Hyaluronidase
- สาร สังเคราะห์ กลุ่ม Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งตัว HA เป็นโปรตีนที่มีอยู่ในร่างกายเรา ในชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) สารที่อยู่ใน กลุ่มนี้ได้แก่ Restylane, Perlane, Esthelis เท่านั้นที่ผ่าน อย. แล้ว ส่วน Juverderm ของบริษัท Allergan (บริษัทที่จำหน่ายโบท็อกซ์ของอเมริกา) คาดว่าจะผ่านอย.ในเดือน ตค 2554 นี้ และ Theotsyal ของบริษัท Gouts กำลังดำเนินการขออนุญาตจาก อย. อยู่
- จุดเด่นของการฉีดเสริมจมูกด้วยสาร HA :-
- ไม่ต้องผ่าตัด หรือพักฟื้นหลังทำ ไม่พบอาการบวมแดง หลังฉีด สามารถไปทำงานได้ตามปกติ
- จัดแต่งรูปทรงได้ตามต้องการ ใช้เติมแต่งแก้ปัญหาจมูกเบี้ยว เอียง หรือฉีดเสริมให้โด่งขึ้น จัดแต่งรูปทรงจมูก ให้ธรรมชาติมาก ขึ้นในคนที่เสริมจมูกด้วยแท่งมาแล้ว ยังดูไม่ธรรมชาติ
- ไม่ต้องวางยาสลบ หรือฉีดยาให้นอนหลับ เพียงแค่ทายาชาหรือฉีดยาชาก่อนทำ เนื่องจากไม่เจ็บมาก ใช้เข็มขนาดปานกลาง เบอร์ 30 - 32
- ลักษณะจมูกดูเป็นธรรมชาติ สัมผัสได้เหมือนผิวหนังปกติ
- ไม่ต้องระวังเรื่องเบี้ยวเอียง ไม่ไหล ไม่เคลื่อนที่
- ไม่มีโอกาสแพ้ เนื่องจากไม่ได้ผลิตจากสัตว์เหมือนกลุ่มคอลลาเจน จึงไม่ต้องเทสต์ก่อนฉีด
- โอกาสติดเชื้อหลังฉีดแทบไม่มีหรือน้อยมาก
- เมื่อมีปัญหาสามารถสลายไปได้เอง ไม่ต้องผ่าตัด หรือดูดออก หรือถ้าไม่พอใจ หรือเมื่อต้องการเปลี่ยนใจไปเสริมจมูกด้วยการผ่าตัดใส่แท่งซิลิโคน หรือกระูดูกอ่อน ก็สามารถฉีดให้สลายได้ด้วยสาร Hylauronidase ภายในไม่กี่วัน
- จุดด้อยของการฉีดเสริมจมูกด้วยสาร HA :-
- ไม่คงทนถาวร ต้องฉีดซ้ำทุก 1 ปี เมื่อมีการยุบลงของจมูก
- อาจพบจุดแดงๆ ช้ำเล็กๆ ตามรูเข็มฉีดยา
- ต้องมีการฉีดเติมบ่อยๆ ทำให้เปลืองค่าใช้จ่าย (โดยอยู่ระหว่าง 12,000 - 20,000 บาท)
ส่วนสารฟิลเลอร์ที่อยู่นานกว่า 1 ปี ปัจจุบันในเมืองไทยยังไม่ผ่าน อย. (ยกตัวอย่างเช่น Aquamid, Aqaulift, Radiesse ฯลฯ) ไม่แนะนำให้ฉีด เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้น โครงหน้าเราจะมีการเปลี่ยนแปลง มีการลดลงของคอลลาเจน และอีลาสติน เกิดการหย่อนคล้อยของโครงหน้า สารที่ฉีดถ้าอยู่นานๆ ในระยะเวลาปีหลังๆ อาจจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมอีกต่อไป ที่สำคัญเมื่อไม่พอใจก็ไม่สลายจะฉีดให้สลายออกไปได ้ต้องรอเวลาให้สลายไปเอง
ส่วนสาร Filler Agents ที่สมัยก่อนนิยมฉีดกันมาก ก็คือ ซิลิโคนเหลว ซึ่งนิยมนำมาฉีดแก้มคางรอยบุ๋ม จมูก โดยบุคคลากร (ซึ่งมักจะไม่ใช่แพทย์) เพราะมีราคาถูกประมาณ 1,000 - 5,000 บาททาง อย. ไม่แนะนำให้ฉีดเด็ดขาด เพราะมีโอกาสไหลเคลื่อนที่ได้บ่อยๆ ทำให้เกิดก้อนเนื้อ (Granuloma) ได้ง่ายและแก้ไขได้ยากต้องทำการผ่าตัดจนอาจเกิดผลข้างเคียงทำให้เสียโฉมได้เราเตือนท่านแล้วนะ!
2. การเสริมจมูกด้วยไหมละลาย (Thread )
เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเสริมจมูก เป็นเทคนิคใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม เพราะการเสริมจมูกด้วยไหมละลายจะอยู่ได้นานกว่า การฉีดฟิลเลอร์ ไหมละลายที่ใช้ควรเลือกที่ผ่าน อย. แล้ว เช่น ไหม PDO (Polydioxanone) โดยจะอยู่ได้ประมาณ 1.5 - 2 ปี ไหมละลายที่อยู่นานกว่านี้ส่วนใหญ่จะยังไม่ผ่าน อย. เมืองไทย อ่านบทความไหมละลายชนิดนี้ได้ที่นี่
การเสริมจมูกด้วยไหมละลาย จะเหมาะกับคนที่มีสันจมูกที่โด่งอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการปรับรูปทรงให้คมขึ้น ยกปลายจมูกให้เิชิด หรือปรับปลายจมูกให้ยื่นยาวมีหยดน้ำ
- จากประสบการณ์ของผู้เขียน พบว่าการเสริมจมูกโดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วยการฉีดฟิลเลอร์แล้วเสริมด้วยไหมละลายอีกที พบว่าผลที่ได้ จมูกจะดูสวยงามเป็นธรรมชาติ นอกจากจะโด่งได้รูปตามต้องการแล้ว ยังปรับแต่งทรงให้จมูกคมมากขึ้น ใกล้เคียงกับการเสริมจมูกด้วยการผ่าตัด และสามารถเพิ่มหยดน้ำที่ปลายจมูก ยกปลายจมูกให้เชิด ปรับปลายจมูกให้ยื่น ได้ตามต้องการ หากสนใจการฉีดเสริมจมูก หรือเสริมด้วยไหมละลาย หรือทำทั้งสองอย่าง โทรปรึกษา หรือสอบถามรายละเอียด ได้ที่ 0-2653-2211-12 ส่วนค่าใช้จ่ายจะประมาณ 12,000 - 20,000 บาท
- ส่วนการเสริมจมูกด้วยวิธีผ่าตัด เขียนบทความไว้แล้วที่นี่ ถ้าสนใจ http://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=9&&col_id=200
สามารถโทรสอบถาม และใช้บริการได้ที่
ParBeauty & Slim
ปลาบิวตี้ & สลิม
เบอร์โทร. 08-7210-0901. 09-1619-1724
ถ.ริมหนองสมบูรณ์ (วงศ์สวรรค์) อ.เมือง จ.นครสวรรค์ 60000